วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

ความสุข.......ของคนเยี่ยมบ้าน

   ทุกวันศุกร์สุดท้ายของเดือน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายจัดให้บริการคลินิกจิตเวชแก่ผู้ป่วยในเขตอำเภอด่านซ้าย และอำเภอใกล้เคียง เพื่อความสะดวกสบายในการมารับบริการของผู้ป่วยและญาติ ซึ่งไม่ต้องการเดินทางไกลไปถึงจังหวัดเลย เพราะมีจิตแพทย์ตรวจรักษาด้วยตนเอง
   หลังคลินิกให้บริการเรียบร้อย ตรวจสอบแล้วพบว่ามีผู้ป่วยจิตเวชไม่มาตรวจตามนัดหลายราย ในบ่ายวันนี้ เราเลือกที่จะไปเยี่ยมผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งไม่มาตามนัด และอยู่ในเขตเวชปฏิบัติครอบครัว ตำบลด่านซ้าย ซึ่งไม่ไกลมากนัก ห่างจากโรงพยาบาลระยะทาง 3 กิโลเมตร เมื่อไปถึงบ้านพบคุณยายอายุเกือบ 80 ปี สอบถามแล้วเป็นแม่ของไพรวัลย์ ผู้ป่วยจิตเวชที่เรามาเยี่ยมนั้นเอง ไพรวัลย์อายุ 44 ปี อาศัยอยู่กับแม่ 2 คน ข้างบ้านเป็นบ้านของพี่น้องที่ปลูกเรียงรายกัน แม่ของไพรวัลย์ ต้อนรับเราอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับเคี้ยวหมากปากแดง พูดพร้อมกับบ้วนน้ำหมากเป็นระยะๆ แม่ของไพรวัลย์บอกว่าไพรวัลย์อยู่ในบ้าน พร้อมเรียกลูกชายออกมาพบพยาบาล พบว่าไพรวัลย์ดูหน้าตาไม่สดชื่น อิดโรย แววตามีกังวล พูดน้อย ถามคำ ตอบคำ มีหูแว่วบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่มีภาพหลอน กลางคืนนอนไม่หลับ และบอกว่ามีคนเอามีดมาผ่ากระเพาะตนเอง ไม่ให้กินยา ไพรวัลย์ไม่ยอมกินยาต่อเนื่องกินบ้างไม่กินบ้าง จึงทำให้อาการทางจิตกำเริบ แม่ของไพรวัลย์เล่าว่าหลังเลิกงาน เพื่อนๆจะมาชวนดื่มสุรา เมื่อดื่มจนเมาแล้วก็ลืมกินยา ทำให้เขานอนซมอยู่บ้านไม่อยากไปโรงพยาบาล และไม่อยากรับจ้างทำงาน
     ขณะที่พูดคุยกันอยู่ก็มีวัยรุ่นในหมู่บ้านเดียวกัน และเป็นญาติกับไพรวัลย์ เข้ามาทักทาย หนึ่งในนั้นก็เป็นผู้ป่วยจิตเวชเหมือนกันด้วย เขาจำพยาบาลได้ จึงเข้ามาพูดคุยด้วยได้พักหนึ่งแล้วก็ขอตัวกลับ แม่ของไพรวัลย์ บอกว่ากลุ่มนี้แหละที่ชอบชวนกินเหล้า พร้อมเข้าไปหยิบถุงยามาให้พยาบาลดู เมื่อเราถามหายาของไพรวัลย์พบว่ามีหลายถุง และไม่ได้รวบรวมไว้แต่ละชนิด อาจเป็นไปได้ว่า กินยาผิดชนิดและไม่ถูกเวลา เราจึงพยายามอธิบายวิธีการกินยาที่ถูกต้องแต่ละชนิดแก่แม่และไพรวัลย์ รวมทั้งแยกยาแต่ละชนิดที่ไม่จำเป็นเก็บคืนหลายถุง แม่ของไพรวัลย์ดูเข้าใจดี มีปัญหาเรื่องสายตาบ้าง แต่ก็พอเข้าใจ แต่ก็ยังกังวลว่า ลูกชายไม่ค่อยเชื่อฟัง ถ้ามีอาการกำเริบขึ้นมา แต่แม่ก็รับปากจะดูแลเรื่องกินยาให้มากขึ้น พูดพร้อมกับบ้วนน้ำหมาก แม่บอกว่าก็มีแต่แม่นี่แหละที่ดูแลไพรวัลย์เพราะ พี่ๆ น้องๆ ก็ไปทำมาหากิน ไปค้าขายในตลาด 2-3 คน เขาก็ได้ให้อาหารมากิน แม่บอกว่าห่วงแต่ไพรวัลย์ที่เลี้ยงไม่รู้จักโต ความจริงแล้ว ไพรวลย์เคยมีครอบครัว แต่เลิกรากันไปมีลูกสาว 1 คน ตอนนี้ลูกสาวก็แต่งงานมีหลานอายุ 1 ปีเศษแล้วด้วย ไพรวัลย์มีหลานก็เป็นตาแล้วซิ แม่บอกว่าถ้าแม่ตายไป ไม่รู้ว่าใครจะมาดูแลไพรวัลย์ ใช่สินะ ถ้าหากไม่มีใครดูแล ผู้ป่วย จิตเวชเหล่านี้อาการกำเริบมากขึ้น สำหรับผู้ป่วยจิตเวชแล้ววินัยในการกินยาสำคัญที่สุดและต้องงดสุรา/ บุหรี่ เพราะสิ่งเสพติดเหล่านี้มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยาด้วย ทำให้ยาที่กินมีประสิทธิภาพลดลง
     เมื่อถึงเวลาพอสมควร เราขอลากลับพร้อมกับกำชับเรื่องการกินยา อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ก่อนนัด นัดครั้งต่อไป และพวกเราบอกกับแม่และไพรวัลย์ว่าเราจะกลับมาเยี่ยมพวกเขาอีก เพื่อติดตามการรักษาต่อไป และวางแผนไว้ว่าเราจะทำอย่างไร ให้เขาดูแลคนเองได้ ทำงานได้โดยไม่เป็นภาระของคนอื่น พึ่งตนเองได้ วันนั้น คุณยายก็คงนอนตายตาหลับนั่นคือ โจทย์ของทีมเยี่ยมบ้านต้องทำการบ้าน ถ้าทำได้อย่างคิดไว้ ทีมเยี่ยมบ้านเองก็พลอยเป็นสุขด้วย

เรื่องของ........ยายปุ่น..

     บ้านไม้ชั้นเดียว รอบ ๆ มีต้นไม้ใหญ่เล็ก ดูร่มรื่นน่าอยู่ ถ้าเปรียบกับในเมืองแล้วคงมีแต่ฝุ่นควันเสียงรถวิ่งไปมา “ยายปุ่น” เสียงตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงใจดีและเป็นกันเองของป้าแน่ง ที่ต้องใช้คำว่าตะโกนร้องเรียกยายปุ่น เพราะยายปุ่น เป็นผู้ป่วยเบาหวานที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน หูยายตึงมาก สักครู่ดิฉันมองเข้าไปใต้ถุนบ้านเห็นหญิงวัยชรา กำลังนั่งล้างจานอยู่คนเดียว “ยายปุ่น หมอมาเยี่ยม” ป้าแน่งทักทายยายปุ่นพร้อมกับสวัสดี ยายปุ่นลุกจากที่ล้างจานแล้วรีบออกมาต้อนรับทันที ดิฉันรู้สึกได้ว่ายายปุ่นยินดีและดีใจมากที่เห็นหมอแน่งมาเยี่ยมที่บ้านพร้อมกับดิฉันซึ่งวันนี้ใส่ชุดพยาบาลสีขาวมาด้วย สักพักไพบูรณ์ ลูกสาวของคุณยายปุ่นก็มาร่วมพูดคุยกับเราด้วย วันนี้เรามาเยี่ยมยายปุ่น และมาตรวจร่างกายยายปุ่น ยายสุขภาพแข็งแรงดี แต่ที่สำคัญสุขภาพจิตใจของยายคงดีมากเพราะมองจากสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แจ่มใสตลอดการพูดคุย และมองไปบริเวณรอบ ๆ บ้านยังมีบ้านของลูก ๆ อยู่อย่างใกล้ชิด
ปัญหาของยายปุ่นทีเราพบคือว่าเมื่อไหร่ที่ไปตรวจที่โรงพยาบาลตามนัดทีไรยายก็มีระดับน้ำตาลสูงหรือไม่ก็น้ำตาลต่ำ จึงทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยาก ทำให้เราต้องลงเยี่ยมบ้านของยายเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหา แล้วก็พบว่า ยายจะฉีดยา Insulin ก่อนไปเจาะเลือดวันนัดเบาหวานทุกครั้ง อ๋อ นี่เองคือสาเหตุปัญหา เรานั่งคุยกับยายอยู่นาน จึงถามยายปุ่นถึงเรื่องรับประทานยา “ยายค่ะ ยาตัวนี้ทำไมเหลือน้อยจัง” ยายปุ่นหยิบซองยามาดูและบอกว่า “กินวันละเม็ด” ป้าแน่งมองไปที่ซองยา ยานี้ให้กินวันละ 1 เม็ดตอนเข้า แต่ดูที่ OPD Card หมอสั่งยาใหม่ให้กินวันละครึ่งเม็ด “คุณยายกินยาผิดแล้ว” ซองยานั้นเป็นซองยาเก่าที่หมอสั่งมานานแล้วแต่ตอนนี้หมอลดยาลง ดิฉันจึงเขียนซองยาพร้อมอธิบายให้ยายปุ่นเข้าใจวิธีการกินใหม่ ซึ่งยายตั้งใจฟังและบอกว่าจำได้ เราทวนสอบความเข้าใจของยาย ยายก็ตอบคำถามได้เป็นอย่างดี เรานั่งคุยถามเรื่องทั่ว ๆ ไปกับยายปุ่น ยายคุยไปยิ้มไป สักพักเราก็ลายายปุ่นกลับโรงพยาบาล
    มาเยี่ยมบ้านครั้งนี้ทำให้ฉันรู้ว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่เราไม่รู้ ในขณะที่เราทำงานในที่โรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว การมาเยี่ยมบ้านเราได้เรียนรู้วิถีการดำเนินชีวิตในแบบของชาวบ้าน เราได้รู้ถึงความลำบาก และการดูแลตนเองของคนไข้ที่เราพบเห็น วันนี้ดิฉันรู้สึกดีใจที่ป้าแน่งได้มาสอนประสบการณ์ใหม่ ๆ ดี ๆ ที่ทำให้เราได้รู้ในอีกมุมหนึ่งของการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ซึ่งมันไม่เหมือนกับการดูแลในหอผู้ป่วยในที่ทำงานอยู่ทุกวัน ประสบการณ์ครั้งนี้ดิฉันจะใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยและการทำงานต่อไป

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

เพราะเราผูกพันธ์....

วันนี้ป้าแน่งกับป้าน้อย จะพาพยาบาลหอผู้ป่วยใน 1ไปเยี่ยมบ้าน ไปดูงานด้วย ไปดูซิว่าเวลาป้าๆไปเยี่ยมบ้านเป็นยังไงกันบ้าง เวลา 13.00น.รถออกจากโรงพยาบาลป้าแน่งบอกว่า วันนี้เราจะไปเยี่ยมผู้ป่วยระยะสุดท้าย 2 คนที่บ้านหนองฟ้าแลบ คนแรกชื่อยายปิวเป็นมะเร็งตับอ่อน คนที่ 2ยายคำฝุ่นเป็นมะเร็งปอด พี่ต้นคนขับรถขับรถไปเรื่อยๆระหว่างทางพี่แน่ง เล่าให้ฟังว่าความจริงแล้ววันนี้ไม่ใช่โปรแกรมออกเยี่ยมบ้านแต่จะพาน้องไปเยี่ยมยายเพราะว่าคุณยายดูไม่ค่อยดี การไปเยี่ยมคุณยายครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เดี๋ยววันนี้เราจะไปเยี่ยมยายปิวก่อนคงใช้เวลาไม่มากนัก แล้วค่อยไปเยี่ยมยายคำฝุ่น
รถมาจอดหน้าบ้าน 2 ชั้น บ้านดูเงียบ ๆ แต่เปิดประตูไว้ พี่แน่งเดินเข้าไปหน้าบ้าน “สวัสดีค่ะหมอมาเยี่ยมค่ะ” สักครู่ป้าออนลูกสะใภ้ยายปิวเดินออกมายิ้มสวัสดีทักทาย พาเรา ป้าแน่ง ป้าน้อย เดินเข้าไปในห้อง ยายปิวนอนอยู่ในห้องชั้นล่างหลับตา ดูเหมือนอ่อนแรงเต็มที ป้าออนบอกว่า ยายไม่ยอมทานอะไรเลยตั้งแต่เช้าวันนี้นอนเป็นส่วนใหญ่ ปลุกก็ไม่ตื่น ป้าแน่งเข้าไปนั่งที่บนเตียงกับคุณยาย จับมือถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร “ยายเป็นไงบ้างหมอมาเยี่ยม” ยายปิวขยับตัวเล็กน้อยรับทราบถึงการมาของผู้มาเยือน ขวัญจับมือยายปิวดูปลายมือปลายเท้า เริ่มเขียวเย็นชื้น คุณยายหายใจแผ่ว ๆ ด้วยความลำบาก ดูเหมือนครั้งนี้ยายอาการทรุดลงมาก
ป้าแน่งเล่าว่า ครั้งแรกที่มายายยังพูดคุยได้ รู้ตัวรู้เรื่องดี คุณยายรู้สึกแปลกใจที่มีคุณหมอจากโรงพยาบาลด่านซ้ายมาเยี่ยม ป้าออน เล่าว่าหลังจากที่ป้าแน่งกลับคุณยายดีใจใหญ่ โทรไปเล่าให้ลูก ๆ หลาน ๆ ที่สกลนครฟังว่ามีหมอมาเยี่ยมด้วย คุณยายเป็นคนสกลนครพึ่งย้ายมาอยู่กับลูกชายที่บ้านหนองฟ้าแลบได้ 2 เดือนหลังจากป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน
การเยี่ยมครั้งที่ 2 ที่ป้าแน่งมาเยี่ยม ยายยังพูดได้ ยิ้มดีใจเมื่อป้าแน่งและน้องแอน (พยาบาลหอผู้ป่วยใน 1) ไปเยี่ยม คุณยายบอก “ไม่ห่วงอะไรแล้ว” มีเหนื่อยมากขึ้น เวลาลุกทำกิจกรรมเหนื่อยง่าย แต่ยายไม่เหนื่อยใจ ยายมีความสุขมากที่ได้อยู่ท่ามกลางลูกหลานอันเป็นที่รัก ตอนนี้คุณยายใส่ Pampers ไว้เพราะลุกเข้าห้องน้ำไม่ไหว น้องอู๋ก็จะเป็นคนคอยเปลี่ยน Pampers เช็ดเนื้อเช็ดตัวทำความสะอาดให้ยายปิวด้วยความเต็มใจ เวลาออกไปธุระข้างนอกก็จะรีบกลับมาหาคุณยาย ทำงานอยู่ใกล้ ๆ คอยฟังเสียงเรียกของย่า
น้องอู๋ เป็นลูกชายป้าออนกับคุณลุงตำรวจที่เป็นลูกชายยายปิว ยายปิวผูกพันธ์กับหลานคนนี้มาก เพราะยายเลี้ยงมาตั้งแต่แรกเกิด สองยายหลานจะสนิทกันมาก “เขารักของเขา” น้องอู๋เป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ อายุ 28 ปี ตั้งแต่รู้ว่ายายไม่สบาย น้องอู๋ก็ลาออกจากสโมสรฟุตบอล มาดูแลยายโดยเฉพาะ
ตื่นเช้าขึ้นมาทุกเช้า น้องอู๋ จะตื่นขึ้นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ยาย พายายเข้าห้องน้ำ ทำกับข้าวให้ยาย และพายายไปใส่บาตรหน้าบ้านทุกเช้า เป็นภาพประทับใจที่ใคร ๆ เห็นแล้วชื่นใจ เด็กหนุ่มในวัยนี้ แทนที่จะไปเที่ยวเล่น อยู่กับเพื่อน แต่กับมาอยู่กับย่า ดูแลด้วยความใส่ใจตลอดทั้งวัน น้องอู๋จะคอยดูแลยายปิวอยู่ไม่ห่าง ห้องที่นอนเป็นห้องของน้องอู๋ รอบ ๆ ห้องมีภาพนักกีฬาที่น้องอู๋ชื่นชอบติดอยู่เต็มไปหมดแต่บนหัวเตียงที่ยายปิวนอนอยู่ด้วยเป็นรูปหลวงปู่ หลวงพ่อที่ยายปิวศรัทธา

แต่การมาเยี่ยมครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 คุณยายเรียกไม่ลืมตา ไม่มีเสียงพูด เสียงหัวเราะเหมือนครั้งก่อน ป้าแน่งนั่งจับมือ พูดข้าง ๆ หูคุณยาย “ถ้าเหนื่อยมากก็พักนะค่ะคุณยาย ทำบุญทำกุศลมาเยอะแล้ว ให้นึกถึงบุญทานที่เคยทำมา ไม่ต้องห่วงใครแล้วนะค่ะ”
ป้าออนบอกว่ายายปิวพูดครั้งสุดท้ายถามหาลุงตำรวจที่เป็นลูกชาย ป้าออนบอกว่าคุณลุงไปช่วยน้ำท่วม ที่อยุธยาตั้งแต่เมื่อวาน ป้าออนโทรบอกคุณลุงแล้ว ถึงอาการทรุดลงของยายปิว คุณลุงกำลังจะกลับมา
ป้าน้อยนั่งอยู่ข้าง ๆ ป้าแน่ง บอกให้ คุณยายภาวนา พุทธโธ หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ พูดไปน้ำตาไหลออกมา ด้วยความสงสารยาย เพราะว่าป้าน้อยรู้จักคุ้นเคยกับยายปิวนานแล้ว เคยเจอกันบ่อย ๆ เพราะแฟนป้าน้อยทำงานอยู่ที่เดียวกับลูกชายของยายปิว ป้าออนนั่งจับมือคุณยายอยู่อีกข้างน้ำตาซึม พูดไม่ให้ยายห่วงอะไร บอกลูกชายกำลังเดินทางมา
น้องอู๋เดินเข้ามาในห้อง ป้าแน่งบอกว่า ตอนที่คุณยายหายใจหอบขึ้น ปลายมือปลายเท้าเขียว เย็นยายคงอยู่กับเราอีกไม่นาน น้องอู๋นั่งลงแทบเท้าคุณยาย เอามือกุมเท้าคุณยายร้องไห้เงียบ ๆ ด้วยความเสียใจ ถึงแม้จะทำใจมานานแล้ว ความรู้สึกสูญเสียคนที่รักและผูกพันธ์ที่กำลังจะจากไป ไม่มีใครที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ในระหว่างนั้น คุณป้าออน เปิดเทปธรรมะที่ยืมมาจากโรงพยาบาลด่านซ้าย ให้คุณยายฟังเบา ๆ
ป้าน้อยยังร้องไห้ไม่หยุด ป้าแน่งน้ำตาคลอแต่ไม่ร้องไห้ ป้าน้อยค่อย ๆ ขยับตัวออกมา บอกให้น้องอู๋เข้ามานั่งกุมมือคุณยาย นั่งเป็นเพื่อนส่งยายเป็นครั้งสุดท้าย พูดคุยกับยายเป็นครั้งสุดท้าย น้องอู๋นั่งนิ่งพูดไม่ออก มีแต่แววตาที่มองคุณยายด้วยความห่วงใย ทุกคนนั่งเป็นเพื่อนยายปิว ส่งใจให้ยายไปสู่ภพภูมิที่ดี ป้าแน่ง ป้าออน พูดให้คุณยายสบายใจ อย่าห่วงกังวล คุณยายหายใจเหนื่อย ขยับแขนขาเล็กน้อย เรานั่งฟังเทปธรรมมะไปพร้อมคุณยายประมาณ 1 ชั่วโมง ป้าแน่งขอตัวกลับก่อน บอกลาและกราบที่หน้าอกยายปิวเป็นครั้งสุดท้าย ป้าแน่งถามว่า เรามีอะไรจะพูดกับยายไหม ข้าพเจ้าขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้ ๆ คุณยายพูดบอกให้คุณยายเข้มแข็ง ต่อสู้กับความเจ็บปวดก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกดับ อดทนต่อสู้กับความเหนื่อยที่ต้องเผชิญ ให้คุณยายนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เคารพนับถือ นึกถึงครูบา อาจารย์ที่สกลนครที่คุณยายเคยกราบไหว้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ขอให้ใจคุณยายมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีทานศีล กุศลที่ทำเป็นที่พึ่ง.....
ก่อนกลับ ป้าน้อยบอกว่าจะขอเป็นเพื่อนคุณยายต่อ ให้ป้าแน่งกับข้าพเจ้ากลับมาก่อนหลังจากบอกลา ยายปิวแล้ว ป้าออนออกมาส่ง ข้าพเจ้ากับป้าแน่งที่หน้าบ้านบอกกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ วันนี้คงไม่ได้ไปเยี่ยมยายคำฝุ่นแล้วเพราะเวลาคงไม่พอ ไว้วันหลังก่อนก็แล้วกัน....
ข้าพเจ้ากลับมาที่โรงพยาบาลเวลา 15.00 น. มาทำงานช่วยเพื่อนที่ตึกต่อ แต่ใจก็คิดถึงยายปิวว่าจะเป็นยังไงบ้าง เวลา 17.00 น. ข้าพเจ้ากับน้องแอนกำลังจะกลับบ้าน น้องแอนรอข้าพเจ้าอยู่นอกห้องพักเวร ได้ยินเสียงป้าแน่งเรียก “แอน ๆ คุณยายปิวเสียแล้วน่ะ” ข้าพเจ้ารีบเดินออกมาจากห้องพักเวร ถามป้าแน่ง “จริงเหรอค่ะป้าแน่ง” ถามทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นความจริงแน่ ๆ ข้าพเจ้ากับน้องแอนมองหน้ากันรู้สึกสงสารคุณยายเหมือนๆกัน ป้าน้อยโทรมาบอกคุณยายจากไปอย่างสงบ น้องอู๋ ป้าออน ยังคงกุมมือจนกระทั่งคุณยายจากไป ความผูกพันธ์ของคุณย่ากับหลานชายสุดที่รัก ยากที่จะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้การได้จากโลกนี้ไปท่ามกลางคนที่รัก คงทำให้คุณยายอบอุ่นและสุขใจอย่างที่สุด ...
* การทำสิ่งดี ๆ ตอบแทนคนที่คุณรักครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากกัน คุณล่ะทำอะไรดี ๆ เพื่อคนที่คุณรักหรือยัง*